ตลาดเผชิญความผันผวนที่รุนแรงด้านราคาจากมาตรการขึ้นภาษีของประธานาธิบดีทรัมป์ที่บังคับใช้กับแคนาดา เม็กซิโก และจีน มาตรการเหล่านี้มีขนาดและขอบเขตที่กว้างมากกว่าที่คาดไว้ ส่งผลให้ในช่วงแรกค่าเงินดอลลาร์แข็งค่าขึ้นและเงินเยนมีประสิทธิภาพดีขึ้นในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัย ตลาดเสี่ยงถูกเทขาย รวมถึงหุ้นและสกุลเงินที่อ่อนไหวต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจ เช่น AUD และ NZD ปรับตัวลง
ความผันผวน เพิ่มสูงขึ้นและตลาดเกิดความปั่นป่วนจากข่าวสาร “Headline Havoc” มีผลอย่างเต็มรูปแบบ ก่อนที่ในช่วงท้ายของวันจะมีข้อตกลงเลื่อนการเก็บภาษีสินค้าจากเม็กซิโกออกไปหนึ่งเดือน และหลังจากที่ตลาดสหรัฐฯ ปิด ก็จะมีการขึ้นภาษีนำเข้าจากแคนาดาด้วยเช่นกัน ความกังวลเกี่ยวกับการเติบโตของเศรษฐกิจโลกและบรรยากาศตลาดที่แย่ลงได้ผลักดันให้ตลาดเคลื่อนไหว โดยมาตรการตอบโต้เป็นจุดเริ่มต้นของการเทขาย ปัจจุบัน ตลาดกำลังตื่นตัวต่อสัญญาณอื่น ๆ ของข้อตกลงเกี่ยวกับการเลื่อนการขึ้นภาษีนำเข้าเพิ่มเติม รวมถึงการประกาศขึ้นภาษีนำเข้าใหม่ ๆ ที่อาจเกิดขึ้น
จุดสำคัญ
- ภาษีของทรัมป์กระตุ้นความผันผวนในตลาด ส่งผลให้ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐและสินทรัพย์ปลอดภัยแข็งค่าขึ้น ขณะที่สกุลเงินเสี่ยงได้รับผลกระทบ
- การเคลื่อนไหวของสกุลเงินผกผันจากข้อตกลงเลื่อนภาษีศุลกากรกับเม็กซิโกและแคนาดา
- ภาษีในระยะยาวมีความเสี่ยงต่อการเติบโตของเศรษฐกิจโลก อัตราเงินเฟ้อของสหรัฐฯ ที่สูงขึ้น และการเปลี่ยนแปลงพลวัตทางการค้า
นโยบายภาษีสำคัญของทรัมป์ [1]
ตามที่ได้สัญญาไว้ ประธานาธิบดีทรัมป์ได้กำหนดมาตรการภาษีใหม่ต่อแคนาดา เม็กซิโก และจีน เมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2025 ซึ่งเป็นการเริ่มต้นสงครามการค้ากับพันธมิตรทางการค้ารายใหญ่ 3 รายของสหรัฐฯ คำสั่งฝ่ายบริหารได้กำหนดภาษีนำเข้า 25% สำหรับสินค้าจากแคนาดาและเม็กซิโก ไม่รวมผลิตภัณฑ์น้ำมันและพลังงานของแคนาดา ซึ่งจะถูกเรียกเก็บภาษี 10% ส่วนสินค้านำเข้าจากจีนถูกเรียกเก็บภาษีเพิ่มเติมอีก 10%
การเปลี่ยนแปลงนี้มีผลใช้กับสินค้าทั้งหมดจากประเทศต่าง ๆ ที่คิดเป็นสัดส่วนประมาณ 42% ของการนำเข้าทั้งหมดของสหรัฐฯ เพื่อเป็นการตอบโต้ แคนาดาได้ประกาศขึ้นภาษีนำเข้า 25% สำหรับสินค้าจากสหรัฐฯ เช่น เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ เสื้อผ้า เครื่องใช้ในครัวเรือน และไม้แปรรูป ในขณะที่ประธานาธิบดีเชนบอมของเม็กซิโกกล่าวในตอนแรกว่าประเทศเม็กซิโกจะขึ้นภาษีตอบโต้และดำเนินมาตรการอื่น ๆ เช่นกัน แต่ต่อมามีการบรรลุข้อตกลงให้ชะลอการใช้มาตรการดังกล่าวออกไป
ภาษีศุลกากรส่งผลต่อสกุลเงินโลกอย่างไร
ตามที่คาดการณ์ไว้ ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐฯ พุ่งสูงขึ้น ในขณะที่ค่าเงิน CAD และ MXN อ่อนค่าลง เนื่องจากความกังวลเกี่ยวกับการชะลอตัวของการเติบโตและภาวะเศรษฐกิจถดถอยที่อาจเกิดขึ้นในแคนาดาและเม็กซิโก นอกจากนี้ สกุลเงินอื่น ๆ ได้แก่ AUD และ NZD ซึ่งเชื่อมโยงกับเศรษฐกิจจีนก็ได้รับผลกกระทบเช่นกัน
ค่าเงินยูโร ยังอ่อนค่าลงเนื่องจากทรัมป์กำหนดภาษีนำเข้าสินค้าจากยูโรโซน ค่าเงินเยน แข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับค่าเงินอื่น เนื่องจากได้ประโยชน์จากอุปสงค์ของสินทรัพย์ปลอดภัย รวมถึงฟรังก์สวิส ซึ่งเป็นสินทรัพย์ปลอดภัยกลับแข็งค่าขึ้น
อย่างไรก็ตาม ตลาดฟื้นตัวขึ้นในช่วงปลายวัน เนื่องจากข้อตกลงเกี่ยวกับการเลื่อนการขึ้นภาษีศุลกากร โดย CAD ปิดตลาดในแดนบวกในวันนั้น ขณะที่สกุลเงินหลักอื่น ๆ ปิดช่องว่างเริ่มต้นเพื่อปิดตลาดในแดนบวกเช่นกัน
ความเชื่อมโยงระหว่างภาษีศุลกากรกับอัตราแลกเปลี่ยน
ภาษีศุลกากรมีอิทธิพลต่ออัตราแลกเปลี่ยนโดยเปลี่ยนแปลงกระแสการค้าและส่งผลต่ออุปสงค์ของสกุลเงิน ภาษีเหล่านี้สามารถสนับสนุนสกุลเงินในประเทศให้แข็งแกร่งขึ้นโดยลดการนำเข้าและปรับปรุงดุลการค้า ดุลการค้าที่เป็นบวกจะเพิ่มอุปสงค์ของสกุลเงินในประเทศในตลาดต่างประเทศ
นี่คือสิ่งที่มักเกิดขึ้น: เมื่อประเทศใดประเทศหนึ่งกำหนดภาษีนำเข้า มักจะทำให้ปริมาณสินค้าที่เข้ามาในประเทศลดลง ซึ่งอาจทำให้ความต้องการสกุลเงินต่างประเทศลดลง เนื่องจากการนำเข้าที่น้อยลงหมายถึงการชำระเงินให้กับซัพพลายเออร์ต่างประเทศน้อยลง ในทางกลับกัน ความต้องการที่ลดลงนี้อาจส่งผลให้สกุลเงินในประเทศแข็งค่าขึ้นเมื่อเทียบกับสกุลเงินต่างประเทศ
ตัวอย่างเช่น หากสหรัฐฯ กำหนดอัตราภาษีศุลกากรสูงสำหรับสินค้าจากแคนาดา ธุรกิจในสหรัฐฯ อาจซื้อสินค้าจากเพื่อนบ้านน้อยลง ส่งผลให้ความต้องการเงินดอลลาร์แคนาดาลดลง ซึ่งอาจทำให้เงินดอลลาร์แคนาดาอ่อนค่าลงเมื่อเทียบกับดอลลาร์สหรัฐฯ อย่างไรก็ตาม การตอบโต้ของแคนาดา เช่น การกำหนดอัตราภาษีศุลกากรสำหรับสินค้าส่งออกของสหรัฐฯ อาจสร้างผลกระทบที่สมดุล
ผลกระทบต่อดุลการค้าและมูลค่าสกุลเงิน
หากพูดให้เข้าใจง่าย ๆ ภาษีศุลกากรก็คือภาษีที่เรียกเก็บจากสินค้า (ไม่ใช่บริการ) ที่นำเข้าจากประเทศอื่น โดยทั่วไปภาษีประเภทนี้จะเรียกเก็บเป็นเปอร์เซ็นต์ของมูลค่าผลิตภัณฑ์ ตัวอย่างเช่น ภาษีศุลกากร 25% สำหรับสินค้าที่ส่งจากแคนาดาและเม็กซิโก หมายความว่าผลิตภัณฑ์ในสหรัฐอเมริกาที่มีราคา 40 ดอลลาร์จะต้องเสียค่าธรรมเนียมเพิ่มเติม 10 ดอลลาร์
รัฐบาลใช้ภาษีศุลกากรเพื่อปกป้องอุตสาหกรรมในประเทศจากการแข่งขันจากภายนอกและแก้ไขความไม่สมดุลทางการค้า ภาษีศุลกากรสามารถส่งผลต่ออัตราแลกเปลี่ยนและสกุลเงินได้ เนื่องจากอาจลดการนำเข้าจากประเทศใดประเทศหนึ่ง ส่งผลให้สกุลเงินของประเทศนั้นเสื่อมค่าลงเมื่อความต้องการสกุลเงินของประเทศลดลง
แน่นอนว่าควรสังเกตว่าอัตราแลกเปลี่ยนขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย
กรณีศึกษา: การเคลื่อนไหวของสกุลเงินในช่วงการประกาศภาษีศุลกากรของทรัมป์
สกุลเงินมีความผันผวนนับตั้งแต่มีการประกาศเก็บภาษีเมื่อสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา กระแสการหลีกเลี่ยงความเสี่ยงทำให้สกุลเงินที่ผูกกับการเติบโตของโลกอ่อนค่าลง ในขณะที่สินทรัพย์ปลอดภัยได้รับแรงซื้อ อย่างไรก็ตาม หลังจากตลาดสหรัฐเปิดทำการ ข้อตกลงระหว่างเม็กซิโกและสหรัฐฯ ได้ส่งผลให้การเคลื่อนไหวเหล่านี้กลับตัว และช่องว่างขาลงที่เกิดขึ้นในช่วงเปิดตลาดก็ถูกเติมเต็ม
ข้อตกลงล่าช้ากับแคนาดาได้ขยายผลกระทบของการเคลื่อนไหวเหล่านี้ออกไปอีก หากหลีกเลี่ยงหรือเลื่อนภาษีศุลกากรออกไปอีก อาจไม่มีการเปลี่ยนแปลงต่อแนวโน้มเศรษฐกิจโดยรวม ดอลลาร์สหรัฐอาจผันผวนขึ้นอยู่กับการประเมินความเสี่ยงที่เกี่ยวข้องกับกับภาษีของตลาด
แนวโน้มของดอลลาร์สหรัฐ
ดอลลาร์อยู่ในแนวโน้มขาขึ้นที่แข็งแกร่งตั้งแต่เดือนกันยายน โดยปรับตัวขึ้นอย่างมีนัยสำคัญและแตะระดับสูงสุดในรอบสองปีในช่วงกลางเดือนมกราคม อัตราแลกเปลี่ยนที่ปรับตามอัตราเงินเฟ้อของดอลลาร์อยู่ที่ระดับสูงสุดนับตั้งแต่ปี 1985
ความเป็นเอกลักษณ์ของสหรัฐฯ (US exceptionalism) เป็นธีมหลักของตลาดในปี 2024 และเมื่อพิจารณาจากนโยบายของรัฐบาลชุดใหม่ที่มีการผสมผสานระหว่างภาษีศุลกากร การควบคุมการเข้าเมือง การกระตุ้นทางการคลัง และการยกเลิกกฎระเบียบ ประกอบกับเศรษฐกิจสหรัฐที่แข็งแกร่งอยู่แล้วและธนาคารกลางสหรัฐที่หยุดปรับนโยบายทางการเงิน ทำให้มีนักลงทุนเพียงไม่กี่รายที่กล้ายืนขวางทางการเคลื่อนไหวของราคา King Dollar ได้
ผลกระทบต่อสกุลเงินอื่น ๆ
สกุลเงินที่อ่อนไหวต่อการเติบโตของโลก และสกุลเงินดอลลาร์ที่เป็นสินค้าโภคภัณฑ์ เช่น AUD และ NZD ซึ่งเป็นที่รู้จักในชื่อสกุลเงินเสี่ยง ถูกเทขายอย่างหนักในช่วงแรก เนื่องจากความกังวลเกี่ยวกับกิจกรรมทางเศรษฐกิจทั่วโลกที่ชะลอตัวซึ่งส่งผลต่อความเชื่อมั่น
สกุลเงินที่ปลอดภัย ได้แก่ สกุลเงินปลอดภัย เช่น เงินเยนของญี่ปุ่นและฟรังก์สวิส ต่างก็ทำผลงานได้ดีกว่า ในขณะที่ เงินยูโรก็ถูกขายออกอย่างอย่างรุนแรง เนื่องจากตลาดมองว่าภาษีใหม่ของทรัมป์จะพุ่งเป้าไปที่สินค้านำเข้าจากยูโรโซนเป็นลำดับถัดไป
ผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นจากนโยบายภาษีศุลกากรต่อสกุลเงินในระยะยาว
นักเศรษฐศาสตร์หลายคนเห็นด้วยว่าสงครามการค้าไม่ได้เป็นประโยชน์ต่อฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง ซึ่งถูกอธิบายว่าเป็น “สถานการณ์ที่ทุกฝ่ายแพ้” มาตรการตอบโต้แบบตาต่อตาฟันต่อฟันอาจส่งผลให้ความตึงเครียดเพิ่มขึ้น ซึ่งท้ายที่สุดแล้วอาจส่งผลให้ความเชื่อมั่นและกิจกรรมทางเศรษฐกิจโดยรวมตกต่ำลง
โดยทั่วไป ส่วนหนึ่งของต้นทุนภาษีจะถูกผลักภาระไปยังผู้บริโภค ซึ่งหมายความว่าผู้ขายอาจขึ้นราคาที่ต้องเสียภาษีนำเข้า ซึ่งอาจทำให้เงินเฟ้อของสหรัฐฯ สูงขึ้น โดยนักเศรษฐศาสตร์บางคนคาดการณ์ว่าอัตราเงินเฟ้ออาจเพิ่มสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ
ในสภาพสถานการณ์นี้ ดอลลาร์สหรัฐอาจแข็งค่าขึ้นได้เช่นเดียวกับในปี 2018-2019 เนื่องจากการเติบโตของสหรัฐฯ น่าจะยังคงแข็งแกร่งกว่าคู่ค้ารายใหญ่ และอัตราผลตอบแทนพันธบัตรที่แตกต่างกันจะยังคงเป็นปัจจัยสนับสนุนดอลลาร์ต่อไปหากเฟดมีแนวโน้มผ่อนปรนมากขึ้น แต่สงครามภาษีที่ยืดเยื้อและรุนแรงอาจส่งผลให้เกิดคำถามเกี่ยวกับผลกระทบในระยะยาวต่อการเติบโตทางเศรษฐกิจและความสัมพันธ์ทางการค้าของสหรัฐฯ ในทางกลับกัน คาดว่าการเติบโตจะชะลอตัวลงอย่างมากและอาจเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอยในประเทศที่ได้รับผลกระทบด้านภาษี
ความผันผวนของตลาดและความเชื่อมั่นของนักลงทุน
ความเชื่อมั่นของตลาดลดลงอย่างรุนแรงในช่วงแรก ในขณะที่ความผันผวนเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว เนื่องจากตลาดพยายามประเมินผลกระทบของประกาศมาตรการภาษี ความรู้สึกของตลาดเปลี่ยนไปเป็น “การหลีกเลี่ยงความเสี่ยง” โดยมีการเทขายหุ้น และนักลงทุนเข้าซื้อสกุลเงินปลอดภัย อย่างไรก็ตาม การยืนยันในภายหลังว่าเม็กซิโกตกลงที่จะเลื่อนการขึ้นภาษีเป็นเวลาหนึ่งเดือน ส่งผลให้ตลาดกลับตัว
ดัชนี VIX ซึ่งเป็นมาตรวัดความผันผวนของตลาด และถูกขนานนามว่าเป็น “มาตรวัดความกลัวของวอลล์สตรีท” เคลื่อนไหวเหนือค่าเฉลี่ยระยะยาวในช่วงแรก ก่อนจะตกลงมาต่ำกว่า 19 อีกครั้งในช่วงท้ายของตลาดสหรัฐฯ ความเชื่อมั่นยังคงไม่แน่นอนจากความคลุมเครือในลักษณะนี้ ซึ่งในระยะยาวอาจส่งผลกระทบต่อแผนการลงทุนของธุรกิจและบริษัทต่าง ๆ
การเปลี่ยนแปลงในพลวัตการค้าโลก
มาตรการภาษีที่มีกำหนดบังคับใช้กับแคนาดาและเม็กซิโกนั้นอาจทำให้ข้อตกลงการค้าเสรีที่ดำเนินมายาวนานหลายทศวรรษพังทลาย โดยสรุปแล้ว นักเศรษฐศาสตร์คนหนึ่งประเมินว่ามาตรการดังกล่าวนั้นมีขนาดใหญ่กว่ามาตรการทางการค้าทั้งหมดของรัฐบาลทรัมป์ชุดแรกถึง 5 เท่า ซึ่งจะเป็นแรงกระแทกทางการค้าที่รุนแรงมากกว่าผลกระทบของ Breix ต่อสหราชอาณาจักร
มีแนวโน้มว่าเศรษฐกิจแคนาดาและเม็กซิโกจะเข้าสู่ภาวะถดถอย โดยอัตราเงินเฟ้อของสหรัฐฯ จะกลับมาสูงกว่า 3% และการเติบโตของสหรัฐฯ อาจลดลงด้วย [2] รวมถึงการเติบโตในเอเชียและจีนอาจได้รับผลกระทบในระดับเดียวกันหรือมากขึ้นจากการเติบโตที่ชะลอตัว
บทสรุป: สิ่งที่เทรดเดอร์จับตามองในอนาคต
ความไม่แน่นอนในสภาพแวดล้อมปัจจุบันยังคงสูง มีคำถามมากมาย เช่น ภาษีศุลกากรจะคงอยู่นานแค่ไหน จะมีการยกเว้นหรือไม่ การตอบสนองของทรัมป์จะเป็นอย่างไร และมาตรการเหล่านี้จะต้องเผชิญการท้าทายทางกฎหมายหรือไม่
การคอยติดตามข่าวสารล่าสุดและทำความเข้าใจข่าวสารต่าง ๆ ที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วถือเป็นกุญแจสำคัญในช่วงเวลาที่ผันผวนนี้ สำหรับเทรดเดอร์ระยะสั้น การปรับมุมมองให้ทันต่อข่าวสารเป็นสิ่งสำคัญ ในขณะที่นักลงทุนระยะยาวต้องพิจารณาผลกระทบในระยะยาว ข่าวที่เกี่ยวกับมาตรการภาษีใหม่หรือข้อตกลงเกี่ยวกับการเลื่อนภาษีจะเป็นโอกาสให้ติดตามปฏิกิริยาของตลาด
ก้าวล้ำหน้าการเปลี่ยนแปลงของตลาดด้วยการใช้ข้อมูลแบบเรียลไทม์ เครื่องมือซื้อขายที่มีประสิทธิภาพ และข้อมูลเชิงลึกจากผู้เชี่ยวชาญ เปิดบัญชีจริงกับ Vantage วันนี้และเริ่มต้นการซื้อขายของคุณ
อ้างอิง
- “Trump announces significant new tariffs on Mexico, Canada and China, sparking retaliatory actions – CNN” https://edition.cnn.com/2025/02/01/politics/mexico-canada-china-tariffs-trump/index.html Accessed 4 February 2025
- “Tariffs and AI – Why markets are being roiled by this year’s two dominant themes – Capital Economics” https://www.capitaleconomics.com/blog/tariffs-and-ai-why-markets-are-being-roiled-years-two-dominant-themes Accessed 4 February 2025