ไม่ว่าจะผ่านไปกี่ปี ทองคำ ก็ยังคงครองตำแหน่งสินทรัพย์ปลอดภัย (Safe Haven) มาอย่างยาวนาน ด้วยเหตุผลที่ว่าทองคำเป็นสินทรัพย์ที่ไม่เสื่อมสภาพตามกาลเวลา อีกทั้งยังมีบทบาทในระบบการเงินโลก ไม่ว่าจะเป็นการใช้ทองคำสำรองของธนาคารกลาง หรือเมื่อโลกต้องเผชิญกับสภาวะวิกฤตทางเศรษฐกิจมูลค่าของทองคำก็ยังไม่ได้เปลี่ยนแปลงไป แต่ในขณะเดียวกัน หากมองลงไปใน Timeframe ที่เล็กลง ก็จะพบว่าราคาทองคำมีการปรับตัวขึ้น-ลงตลอดเวลา นี่ถือเป็นโอกาสที่เทรดเดอร์จะเข้ามาทำกำไรระยะสั้นจากความผันผวนของราคาได้ ้ ซึ่งหากเทรดเดอร์สามารถคาดการณ์ทิศทางของราคาทองคำได้นั้น ก็จะมีประโยชน์ต่อกลยุทธ์การเทรดเป็นอย่างยิ่ง
(อ่านบทความ Day Trade ทองคำ : เคล็บลับและวิธีการทำกำไรจากทองคำ)
ทำไมราคาทองคำถึงเปลี่ยนแปลงได้อย่างรวดเร็ว ?
สิ่งสำคัญที่สุดเกิดจาก Demand-Supply ที่เกิดขึ้น ถ้าพูดถึงบทบาทของทองคำนั้นนำไปใช้ได้หลากหลายไม่ว่าจะเป็นความต้องการในอุตสาหกรรมเครื่องประดับ การลงทุน และการสำรองในธนาคารกลางการผลิตทองคำที่จำกัดและต้นทุนการขุดที่สูงยังเป็นปัจจัยสำคัญที่กำหนดปริมาณทองคำในตลาด เมื่อความต้องการและปริมาณทองคำไม่สมดุลกัน ราคาทองคำจึงเกิดการเปลี่ยนแปลงตามกลไกตลาดอย่างต่อเนื่อง ซึ่งนักเทรดสามารถเช็ค Demand-Supply ได้จากตัวชี้วัดทางเศรษฐกิจทั้ง 7 ตัวเพื่อประเมินราคาทองคำเพื่อการเทรด
1. PMI(Purchasing Manager’s Index)
PMI หรือดัชนีผู้จัดการฝ่ายจัดซื้อ เป็นตัวชี้วัดที่สะท้อนสภาพเศรษฐกิจในภาคการผลิตและบริการ มีการจัดทำและเป็นเผยแพร่รายเดือนโดย Institute for Supply Management (ISM) ในสหรัฐฯ และ S&P Global(IHS Markit Ltd) PMI มีความสำคัญเพราะเป็นตัวชี้วัดล่วงหน้าที่ช่วยสะท้อนแนวโน้มเศรษฐกิจในอนาคต นักลงทุนและผู้บริหารสามารถใช้ข้อมูลนี้ในการตัดสินใจวางกลยุทธ์ทางธุรกิจและการลงทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพ โดยค่า PMI ที่สูงกว่า 50 หมายถึงการขยายตัวทางเศรษฐกิจ ขณะที่ค่าต่ำกว่า 50 บ่งบอกถึงภาวะเศรษฐกิจหดตัว
PMI ส่งผลกับราคาทองคำอย่างไร ?
PMI มีผลต่อราคาทองคำในทางอ้อมผ่านการสะท้อนสภาพเศรษฐกิจและความเชื่อมั่นในตลาด หากค่า PMI สูงแปลว่าเศรษฐกิจดี นักลงทุนมักหันไปลงทุนในสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงสูง เช่น หุ้น
ทำให้ความต้องการทองคำลดลง แต่หากค่า PMI ต่ำ เศรษฐกิจชะลอตัว ความต้องการสินทรัพย์ปลอดภัยอย่างทองคำจะเพิ่มขึ้น ส่งผลให้ราคาทองคำปรับตัวสูงขึ้นตาม
2. GDP(Gross Domestic Product)
ตัวชี้วัดทางเศรษฐกิจนี้น่าจะเป็นตัวที่คนทั่วไปคุ้นชินกันมากที่สุดเพราะ GDP หรือ ผลิตภัณฑ์มวลรวมของประเทศ คือมูลค่าตลาดโดยรวมในช่วงเวลานั้น แน่นอนว่าตัวชี้วัดตัวนี้จะส่งผลต่อทุกสินทรัพย์รวมไปถึงราคาทองคำด้วย ยิ่งตัวเลข GDP สูง ยิ่งแสดงถึงเศรษฐกิจที่แข็งแรงและเติบโต ในทางกลับกัน หาก GDP ต่ำ อาจสะท้อนถึงภาวะชะลอตัวที่กระทบต่อความมั่นใจของตลาด
GDP มีผลต่อราคาทองคำอย่างไร ?
GDP สะท้อนต่อความเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจโดยตรงจึงส่งผลต่อราคาทองคำชัดเจน หาก GDP แข็งแกร่ง แปลว่าแนวโน้มเศรษฐกิจดี นักลงทุนกล้าเสี่ยง จึงนำเงินทุนส่วนใหญ่ไปลงทุนในตลาดหุ้น หรือสินทรัพย์ที่มีความเสี่ยงสูง ราคาทองคำก็จะลดลง ในทางกลับกัน หาก GDP อ่อนแอหรือชะลอตัว นักลงทุนจะหันกลับมามองสินทรัพย์ปลอดภัยอย่างทองคำ จึงส่งผลให้ราคาทองคำสูงขึ้นในภาวะดังกล่าว
3. NFP(Non-Farm Payroll)
เชื่อว่าเทรดเดอร์หลายคนน่าจะคุ้นเคยกับ NFP หรือ Non-Farm Payroll กันดี เพราะเมื่อถึงช่วง NFP ก็ถือเป็นช่วงเวลาที่น่าจับตาดูเพื่อหาจังหวะทำกำไรในตลาดทองคำ NFP หมายถึง ตัวเลขการจ้างงานนอกภาคเกษตรในสหรัฐฯ เป็นการรายเดือนในวันศุกร์แรกของเดือน ตัวเลขนี้ครอบคลุมแรงงานประมาณ 80% ที่มีส่วนในการสร้าง GDP ทำให้ NFP เป็นตัวชี้วัดที่สำคัญสำหรับการประเมินสภาวะตลาดแรงงานและกิจกรรมทางเศรษฐกิจโดยรวม
NFP ส่งผลกับราคาทองคำอย่างไร ?
สำหรับราคาทองคำ ตัวเลข NFP มีผลกระทบโดยตรงในระยะสั้น โดยทั่วไป หากตัวเลข NFP ออกมาดีเกินคาด จะส่งผลเชิงบวกต่อค่าเงินดอลลาร์และกดดันราคาทองคำให้ปรับตัวลดลง แต่ถ้าตัวเลขออกมาต่ำกว่าที่คาดไว้ นักลงทุนมักมองว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯ อยู่ในภาวะชะลอตัว ส่งผลให้ความต้องการทองคำในฐานะสินทรัพย์ปลอดภัยเพิ่มขึ้น และราคาทองคำปรับตัวสูงขึ้น ดังนั้น เทรดเดอร์จึงมักใช้ช่วงเวลาที่ NFP ถูกประกาศเพื่อจับจังหวะความผันผวนของตลาดทองคำ ไม่ว่าจะเป็นการเปิดสถานะซื้อหรือขายตามทิศทางที่คาดการณ์ไว้เพื่อทำกำไรในระยะสั้น
4. CPI(Consumer Price Index)
CPI หรือดัชนีราคาผู้บริโภค คือมาตรวัดเงินเฟ้อที่สะท้อนการเปลี่ยนแปลงของราคาสินค้าและบริการในชีวิตประจำวันของเราทุกคน ไม่ว่าจะเป็นค่าอาหาร การเดินทาง หรือค่าสาธารณูปโภค ค่า CPI คำนวณจากราคาสินค้าในตะกร้าสินค้าที่ครัวเรือนซื้อ แล้วนำมาถัวเฉลี่ยโดยให้น้ำหนักตามสัดส่วนค่าใช้จ่ายของผู้บริโภค
CPI ส่งผลกับราคาทองคำอย่างไร ?
CPI ถือว่าเป็นเหมือนตัวบอกใบ้ให้เทรดเดอร์เห็นความเคลื่อนไหวของตลาดก่อนใคร เพราะนอกจากบ่งบอกเรื่องเงินเฟ้อแล้วแต่ยังช่วยสะท้อนแนวโน้มของดอกเบี้ยแท้จริง (Real Interest Rates) ซึ่งมีผลต่อราคาทองคำโดยตรง เมื่อ CPI เพิ่มขึ้น อัตราดอกเบี้ยแท้จริงมักลดลง ทำให้ต้นทุนการถือครองทองคำลดลง และราคาทองคำมีโอกาสปรับตัวสูงขึ้น นอกจากนี้ ตัวเลข CPI ยังช่วยให้นักลงทุนคาดการณ์ทิศทางของ Fed และตลาดการเงินได้ก่อนที่ PCE Price Index จะออกมาอีกด้วย
5. PPI(Producer Price Index)
PPI คือ ดัชนีราคาผู้ผลิตหรือผู้ขาย ซึ่งเป็นค่าที่อยู่ตรงข้ามกันกับ CPI ที่ได้เขียนไปในหัวข้อที่ผ่านมาซึ่งเป็นดัชนีราคาผู้บริโภค PPI เป็นตัวชี้วัดการเปลี่ยนแปลงเฉลี่ยของราคาสินค้าและบริการในตะกร้าตัวแทนที่ขายโดยผู้ผลิตและผู้จำหน่ายในตลาดขายส่ง
PPI ส่งผลกับราคาทองคำอย่างไร ?
PPI สามารถมองเป็นตัวชี้วัดล่วงหน้าของราคาทองคำได้เพราะ PPI เป็นตัวคาดการณ์ตัวเลข CPI ที่จะเผยแพร่ตามมาทีหลังได้ เพราะการเปลี่ยนแปลงของราคาขายส่งจะส่งผลต่อภาพรวมของวงจรเศรษฐกิจได้ไวกว่า เราสามารถแนวโน้มได้จากการดูว่าหากตัวเลข PPI สูงกว่าที่คาดไว้ ก็มีโอกาสที่ตัวเลข CPI จะสูงขึ้นตาม ซึ่งมีความเป็นไปได้ว่า FED อาจมีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย ราคาทองคำอาจจะลดลง ในทางกลับกัน หากตัวเลข PPI ต่ำกว่าที่คาดไว้ ก็บ่งบอกได้ว่าภาวะเงินเฟ้อเริ่มชะลอตัว ราคาทองคำก็มีแนวโน้มที่เพิ่มขึ้น
6. FED(Federal Reserve Board)
หากพูดถึงปัจจัยที่ส่งผลต่อราคาทองคำแล้วไม่พูดถึง FED หรือ ธนาคารกลางสหรัฐอเมริกาก็คงไม่ได้เพราะ FED เป็นผู้กำหนดนโยบายการเงินที่ส่งผลโดยตรงต่อค่าเงินดอลลาร์และอัตราดอกเบี้ย ซึ่งทั้งสองอย่างนี้มีอิทธิพลต่อราคาทองคำทั้งสิ้น
FED ส่งผลกับราคาทองคำอย่างไร ?
สิ่งที่เทรดเดอร์เฝ้าจับตามอง FED อยู่เสมอก็คือในทุกๆ 2 เดือนจะมีการประชุม FOMC Meeting ที่จะหารือกันเรื่อง “นโยบายการปรับอัตราดอกเบี้ย” ซึ่งมีผลโดยตรงต่อค่าเงินดอลลาร์และต้นทุนการถือครองทองคำ หากมีการปรับขึ้นดอกเบี้ย ค่าเงินดอลลาร์จะแข็งค่าขึ้น ราคาทองคำมักลดลง ในทางกลับกัน หากส่งสัญญาณลดดอกเบี้ยหรือผ่อนคลายทางการเงิน ราคาทองคำมักปรับตัวสูงขึ้น
พูดง่ายๆ ก็คือ อัตราดอกเบี้ยส่งผลต่อราคาทองคำนั่นเอง
7. PCE(Personal Consumption Expenditures Price Index)
PCE Index หรือ ดัชนีราคาการใช้จ่ายเพื่อการบริโภคส่วนบุคคล ดัชนีนี้วัดการเปลี่ยนแปลงเฉลี่ยของราคาสินค้าและบริการที่บริโภคในประเทศ จุดเด่นของ PCE คือการปรับน้ำหนักของตะกร้าสินค้าผู้บริโภคทุกเดือน ซึ่งต่างจาก CPI ที่เปลี่ยนน้ำหนักนานกว่า PCE ยังมีขอบเขตที่กว้างกว่า และให้น้ำหนักกับกลุ่มสินค้าและบริการ เช่น สุขภาพ มากกว่าที่อยู่อาศัย ทำให้สะท้อนภาพรวมเงินเฟ้อได้ละเอียดกว่า
PCE ส่งผลกับราคาทองคำอย่างไร ?
PCE เป็นตัวเลขสำคัญที่ FED ใช้ในการดูเงินเฟ้อ ซึ่งส่งผลต่อราคาทองคำในทางอ้อม สิ่งที่สำคัญคือราคาทองคำมักตอบสนองต่อ “ทิศทาง” ของเงินเฟ้อ เช่น ถ้าเงินเฟ้อเริ่มเร่งตัวขึ้น นักลงทุนมักหันมาถือทองคำมากขึ้นเพราะมองว่าเป็นสินทรัพย์ปลอดภัย ราคาทองคำจึงปรับตัวสูงขึ้น แต่หากเงินเฟ้อเริ่มชะลอตัว ความต้องการทองคำมักลดลง ราคาทองคำจึงปรับตัวลงตาม
ทองคำเป็นสินทรัพย์ที่ได้รับความสนใจจากนักลงทุนทั่วโลก เพราะมีความผันผวนและตอบสนองต่อปัจจัยทางเศรษฐกิจหลายอย่าง การเข้าใจตัวชี้วัดสำคัญจะช่วยให้เทรดเดอร์สามารถคาดการณ์แนวโน้มของราคาทองคำได้อย่างแม่นยำ
สำหรับเทรดเดอร์ที่ต้องการเข้าถึงโอกาสในตลาดทองคำ Vantage คือแพลตฟอร์มการเทรดออนไลน์ที่ครบวงจร พร้อมให้บริการเครื่องมือวิเคราะห์ที่ทันสมัย ช่วยให้คุณวางกลยุทธ์และจับจังหวะการเทรดได้อย่างมีประสิทธิภาพ อย่ารอช้า เริ่มต้นการเทรดกับ Vantage เพื่อไม่พลาดโอกาสสำคัญในตลาด เปิดบัญชีที่นี่