เสน่ห์ของรายได้แบบ Passive Income – เงินที่ไหลเข้ามาโดยไม่ต้องใช้ความพยายามอย่างต่อเนื่อง – ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่สามารถปฏิเสธได้เลยว่าการซื้อขายมีคุณลักษณะพิเศษคือการติดตามผลอย่างต่อเนื่องและการจัดการในเชิงรุกนั้นตรงกันข้ามกับแนวคิดเรื่อง Passive Income ที่จะใช้ความพยายามน้อยลงเมื่อเริ่มต้นแล้ว
เป็นไปได้ไหมที่จะมี Passive Income ในฐานะเทรดเดอร์?
Passive Income เช่น ปล่อยเช่าอสังหาริมทรัพย์ ค่าลิขสิทธิ์ หรือดอกเบี้ยพันธบัตร เป็นแหล่งรายได้ที่มั่นคงโดยไม่จำเป็นต้องให้ความสนใจอย่างต่อเนื่อง ในขณะที่การซื้อขายต้องใช้เวลาและความสนใจเป็นอย่างมาก แต่ Passive Income นั้นต้องการเพียงแค่การตั้งตน ซึ่งช่วยให้มีไลฟ์สไตล์ที่สมดุลมากขึ้น
แต่ Passive Income สามารถส่งเสริมแนวทางการซื้อขายของเทรดเดอร์ได้อย่างไร?
นอกเหนือจากผลประโยชน์ทางการเงินที่สำคัญแล้ว Passive Income ยังให้ความรู้สึกถึงความมั่นคงและความปลอดภัย โดยทำหน้าที่เป็นเหมือนเกราะป้องกันความเสี่ยงในการซื้อขาย ด้วยการสร้างกระแสเงินสดที่คาดการณ์ได้ โดย Passive Income จะช่วยลดแรงกดดันต่อการซื้อขายแต่ละรายการที่กำลังเกิดขึ้น และส่งเสริมแนวทางเชิงกลยุทธ์มากขึ้น นอกจากนี้ยังส่งเสริมการแยกตัวออกจากอารมณ์ ทำให้เทรดเดอร์สามารถตัดสินใจโดยอาศัยการวิเคราะห์มากกว่าความเร่งรีบ ท้ายที่สุดแล้ว Passive Income จะมอบความอุ่นใจ บรรเทาความเครียด และช่วยให้เทรดเดอร์มุ่งเน้นไปที่การตัดสินใจเลือกอย่างรอบคอบในเส้นทางการซื้อขายของพวกเขา
การรวมรวบ Passive Income เข้ากับพอร์ตการซื้อขายที่มีแอคคีพ สามารถสร้างแนวทางที่สมดุลในการสร้างความมั่งคั่งด้วยการกระจายแหล่งรายได้ โดยเทรดเดอร์เองก็ยังสามารถลดความเสี่ยงและสร้างรากฐานทางการเงินที่ยืดหยุ่นมากขึ้นด้วย
หนึ่งในกลยุทธ์นั้นคือ การจัดสรรส่วนหนึ่งของผลกำไรจากการซื้อขายไปเป็นการลงทุนที่สามารถสร้าง Passive Income เช่น หุ้นที่จ่ายเงินปันผล ปล่อยเช่าอสังหาริมทรัพย์ หรือระบบการซื้อขายอัตโนมัติ วิธีการนี้ไม่เพียงแต่สร้างแหล่งรายได้เพิ่มเติมเท่านั้น แต่ยังช่วยลดความผันผวนของผลตอบแทนการซื้อขายอีกด้วย
นอกจากนี้ การนำ Passive Imcome กลับมาลงทุนใหม่อีกครั้งในกิจกรรมการซื้อขายของพวกเขา เทรดเดอร์สามารถทบต้นกำไรของพวกเขาได้เมื่อเวลาผ่านไป การสร้างสมดุลระหว่างการซื้อขายเชิงรุกกับกลยุทธ์ Passive Income ช่วยให้มีกลยุทธ์การลงทุนระยะยาวที่ยั่งยืนและมีกำไรที่มากขึ้น
แต่ในความจริงแล้ว Passive Income แท้จริงในการซื้อขายนั้นทำได้ยาก การซื้อขายโดยเนื้อแท้แล้วเกี่ยวข้องกับการตัดสินใจ การตอบสนองต่อความผันผวนของตลาด และการจัดการตำแหน่งซื้อขาย อย่างไรก็ตาม มีกลยุทธ์ที่สามารถสร้างรายได้โดยใช้การจัดการเชิงรุกน้อยลง
มาสำรวจสามวิธีที่คุณจะสร้าง Passive Income ให้มากขึ้นได้ในฐานะเทรดเดอร์
1. การลงทุนเพื่อเงินปันผล:
เงินปันผลเป็นส่วนหนึ่งของกำไรของบริษัทที่แจกจ่ายให้กับผู้ถือหุ้น บริษัทที่มีประวัติความสามารถในการทำกำไรที่แข็งแกร่งมักจะจ่ายเงินปันผลเพื่อให้รางวัลแก่นักลงทุนสำหรับความภักดีและเพื่อความมั่นใจ
ประโยชน์ของการลงทุนเพื่อเงินปันผล:
การลงทุนเพื่อเงินปันผลทำให้นักลงทุนมีข้อได้เปรียบสองประการ รายได้ที่มั่นคง และมีศักยภาพในการเติบโตในระยะยาว โดยการเลือกหุ้นจากบริษัทที่กระจายผลกำไรให้กับผู้ถือหุ้นเป็นประจำ นักลงทุนสามารถเพลิดเพลินกับการจ่ายเงินที่เชื่อถือได้ในขณะที่ลงทุนในองค์กรที่มีความมั่นคงทางการเงิน
เรามาสำรวจประโยชน์ กลยุทธ์ และข้อควรรู้ของการลงทุนเพื่อเงินปันผล ซึ่งเป็นกลยุทธ์ที่มุ่งเน้นการสร้างความมั่งคั่งและความมั่นคงทางการเงินที่ยั่งยืน
- สร้าง Passive Income: การจ่ายเงินปันผลสามารถสร้างรายได้อย่างสม่ำเสมอ โดยไม่คำนึงถึงความผันผวนในระยะสั้นของราคา ความสามารถในการคาดการณ์นี้อาจเป็นทรัพย์สินที่มีค่าในการสร้าง Passive Income พอร์ตโฟลิโอ
- ศักยภาพในการเติบโต: เมื่อเวลาผ่านไป บริษัทต่าง ๆ อาจเพิ่มการจ่ายเงินปันผลเมื่อมีกำไรเพิ่มขึ้น สิ่งนี้สามารถให้ประโยชน์สองเท่า: การเติบโตของกระแสรายได้ควบคู่ไปกับการแข็งค่าของเงินทุนจากราคาหุ้น
- ความผันผวนลดลง: หุ้นที่จ่ายเงินปันผลมักจะมาจากบริษัทที่มีชื่อเสียงและทำกำไรได้ บริษัทเหล่านี้มักจะมีความผันผวนน้อยกว่าเมื่อเทียบกับสตาร์ทอัพที่มีการเติบโตสูง ซึ่งอาจนำไปสู่พอร์ตโฟลิโอที่มั่นคงยิ่งขึ้น
การสร้างพอร์ตโฟลิโอเงินปันผล:
ตั้งแต่การวิเคราะห์งบการเงินไปจนถึงการประเมินอัตราการจ่ายเงิน และการประเมินแนวโน้มการเติบโตในระยะยาวของบริษัท การสร้างพอร์ตโฟลิโอกเงินปันผลที่ประสบความสำเร็จนั้นจำเป็นต้องมีความเข้าใจอย่างลึกซึ้งเกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงของตลาดและสายตาที่เฉียบแหลมสำหรับการลงทุนที่มีอนาคต
- การเลือกบริษัทที่มีการจ่ายเงินปันผลอย่างต่อเนื่องและมีชื่อเสียง: ศึกษาและมองหาบริษัทที่มีประวัติการจ่ายเงินปันผลสม่ำเสมอและมีฐานะทางการเงินที่แข็งแกร่ง รวมถึงมองหาบริษัทที่มีงบดุลที่ดี มีระดับหนี้ต่ำ และมีรูปแบบธุรกิจที่ยั่งยืน ตัวอย่างของบริษัทดังกล่าว ได้แก่ Coca-Cola (KO), Procter & Gamble (PG) และ Colgate-Palmolive (CL)
- ตรวจสอบว่าบริษัทเสนอแผนการลงทุนเพื่อนำเงินปันผลกลับมาลงทุนใหม่ (DRIP) หรือไม่: บริษัทที่จ่ายเงินปันผลบางแห่งเสนอการทำ Drip ซึ่งจะนำเงินปันผลของคุณไปลงทุนใหม่เป็นหุ้นเพิ่มเติมโดยอัตโนมัติ สิ่งนี้สามารถเร่งการเติบโตของ Passive Income ของคุณ เมื่อเวลาผ่านไปก็จะเกิดดอกเบี้ยทบต้น อย่างไรก็ตาม บริษัทที่จ่ายเงินปันผลโดยไม่มี DRIP ก็สามารถเป็นผลดีต่อพอร์ตการลงทุนเพื่อเงินปันผลได้เช่นกัน ในฐานะนักลงทุน คุณจะได้รับการจ่ายเงินสด ซึ่งเป็นรูปแบบหนึ่งของเงินปันผล โดยสามารถนำไปใช้ลงทุนในผลิตภัณฑ์อื่น ๆ ได้
- การกระจายความเสี่ยง: อย่าใส่ไข่ทั้งหมดไว้ในตะกร้าใบเดียว กระจายการลงทุนของคุณไปยังภาคส่วนและอุตสาหกรรมต่าง ๆ เพื่อลดความเสี่ยง พิจารณากองทุนซื้อขายแลกเปลี่ยน (ETF) ที่มุ่งเน้นบริษัทที่จ่ายเงินปันผลสำหรับแนวทางที่หลากหลาย
2. ระบบการซื้อขายอัตโนมัติ:
การซื้อขายแบบอัลกอริธึมซึ่งครอบคลุมทั้งระบบอัตโนมัติและการคัดลอกการซื้อขาย ที่ปฏิวัติการซื้อขายโดยใช้ประโยชน์จากเทคโนโลยีเพื่อดำเนินการซื้อขายอย่างเป็นระบบ
ภายในการซื้อขายแบบอัลกอริธึม มีสองแนวทางหลัก:
- ระบบอัตโนมัติ (บอทการซื้อขายหรืออัลกอริทึม): ระบบเหล่านี้จะวิเคราะห์ข้อมูลตลาดโดยใช้ตัวชี้วัดทางเทคนิคและเกณฑ์อื่น ๆ เพื่อสร้างสัญญาณซื้อและขาย พวกมันจะดำเนินการซื้อขายตามกฎที่กำหนดไว้ล่วงหน้าเหล่านี้ โดยขจัดอารมณ์ของมนุษย์ออกจากกระบวนการตัดสินใจ
- การคัดลอกการซื้อขาย: สิ่งนี้ทำให้คุณสามารถคัดลอกการซื้อขายที่ทำโดยเทรดเดอร์รายอื่นซึ่งมักจะมีประสบการณ์มากกว่าได้โดยอัตโนมัติ โดยพื้นฐานแล้ว คุณต้องเชื่อมต่อบัญชีของคุณกับเทรดเดอร์ที่เลือก และการซื้อขายของพวกเขาจะถูกคัดลอกมาที่บัญชีของคุณโดยอัตโนมัติ
สำรวจ Copy Trading ของ Vantage และเริ่มซื้อขายได้ในคลิกเดียว สามารถดาวน์โหลดแอป Vantage บน Google Play Store หรือ App Store เพื่อเริ่มต้น
ประโยชน์ของการซื้อขายแบบอัลกอริทึม:
- การซื้อขายที่มีวินัยและไร้อารมณ์: ขจัดอารมณ์ของมนุษย์ออกจากกระบวนการซื้อขายที่ซึ่งอาจนำไปสู่การตัดสินใจที่หุนหันพลันแล่น และสร้างความผิดพลาดอันมีค่าใช้จ่ายสูง อัลกอริธึมนั้นจะดำเนินการซื้อขายตามเกณฑ์ที่กำหนดไว้ล่วงหน้า เพื่อให้มั่นใจว่ามีการใช้กลยุทธ์การซื้อขายที่สอดคล้องกัน
- การวัดความแม่นยำและการเพิ่มประสิทธิภาพ: ระบบอัตโนมัติช่วยให้สามารถทดสอบย้อนหลังโดยใช้ข้อมูลในอดีตเพื่อประเมินประสิทธิผลของกลยุทธ์ก่อนที่จะปรับใช้ด้วยเงินทุนจริง สิ่งนี้จะช่วยปรับแต่งอัลกอริธึมและปรับปรุงประสิทธิภาพ
- ครอบคลุมตลาด ทุกวันตลอด 24 ชั่วโมง: ระบบการซื้อขายอัตโนมัตินั้นทำงานตลอดเวลา และให้การติดตามตลาดและการซื้อขายอย่างต่อเนื่อง สิ่งนี้ทำให้คุณแน่ใจได้ว่าจะไม่พลาดโอกาสในการซื้อขาย แม้ว่าจะอยู่นอกเวลาทำการปกติก็ตาม
ความท้าทายของการซื้อขายแบบอัลกอริทึม:
- ความซับซ้อน: การพัฒนาและการรักษาอัลกอริธึมการซื้อขายที่มีประสิทธิภาพอาจมีความซับซ้อนและต้องใช้ความเข้าใจอย่างลึกซึ้งเกี่ยวกับตลาดการเงิน การเขียนภาษาโปรแกรม และการวิเคราะห์เชิงปริมาณ
- ตลาดที่ไม่หยุดนิ่ง: ตลาดมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง และเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันสามารถขัดขวางแม้แต่อัลกอริธึมที่ซับซ้อนที่สุดได้ การตรวจสอบและการปรับตัวอย่างสม่ำเสมอมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการรักษาประสิทธิภาพของระบบ
- ต้นทุนการทำธุรกรรม: กิจกรรมการซื้อขายที่เกิดขึ้นบ่อยครั้งโดยระบบอัตโนมัติสามารถนำไปสู่ต้นทุนการทำธุรกรรมที่สูงขึ้น ซึ่งอาจทำลายผลกำไรได้ การเพิ่มประสิทธิภาพอัลกอริทึมเพื่อลดการซื้อขายที่ไม่จำเป็นก็ถือเป็นสิ่งสำคัญ
ค้นพบว่า AI กำลังสร้างภูมิทัศน์การซื้อขายได้อย่างไร และ 4 วิธีในการใช้ AI ในการซื้อขายรายวันของคุณ
3. โปรโมชั่นของโบรกเกอร์สำหรับเงินสำรองของคุณ
เมื่อพูดถึงเส้นทางการลงทุนของคุณ อย่ามองข้ามข้อเสนอและโอกาสจากโบรกเกอร์ บริษัทเหบ่านั้นมักจะเสนอโปรโมชั่นและโปรแกรมที่ออกแบบมาเพื่อช่วยให้คุณได้รับผลตอบแทนสูงสุด
สิ่งจูงใจเหล่านี้มีตั้งแต่โบนัสเงินสดที่น่าดึงดูด ไปจนถึงความสะดวกสบายในการซื้อขายโดยไม่มีค่าคอมมิชชั่น
กำลังมองหาที่ที่จะได้รับดอกเบี้ยในขณะที่ทำการซื้อขายอยู่ใช่ไหม? สิทธิพิเศษจาก Vantage โปรโมชั่นรับเพิ่ม 13% ต่อปี นำเสนอวิธีการพิเศษในการเพิ่มยอดเงินในบัญชีของคุณ นี่คือรายละเอียดวิธีการทำงาน:
- คุณสมบัติ: โปรโมชั่นนี้เปิดให้กับลูกค้า Vantage ทั้งใหม่และปัจจุบันที่อาศัยอยู่ในประเทศ/ภูมิภาคที่เลือกในช่วงระยะเวลาโปรโมชั่น คุณสามารถเยี่ยมชมหน้าโปรโมชั่นของเราเพื่อดูว่าคุณมีสิทธิ์รับโปรโมชั่นนี้หรือไม่
- การเข้าร่วม: นี่คิดวิธีการเข้าร่วม
- ลงทะเบียน: คุณต้องสมัครเข้าร่วมโปรโมชั่นผ่านทางพอร์ทัลลูกค้าของ Vantage หรือแอปมือถือ
- เลือกบัญชี: เลือกบัญชีซื้อขายจริงที่คุณต้องการใช้เข้าร่วม
- เริ่มรับเพิ่ม: กุญแจสำคัญในการรับดอกเบี้ยอยู่ที่การรักษายอดเงินคงเหลือรายวันขั้นต่ำที่ $5,000 ตั้งแต่วันจันทร์ถึงวันศุกร์ตลอดระยะเวลาโปรโมชั่น
- คำจำกัดความของยอดเงินคงเหลือ: ยอดเงินคงเหลือของบัญชีหักด้วยเครดิต ยอดเงินคงเหลือครอบคลุมถึงเงินฝากตั้งต้นของคุณ กำไรหรือขาดทุนลอยตัว และเงินฝากใหม่สะสมใด ๆ ที่เกิดขึ้นในช่วงระยะเวลาโปรโมชั่น
- การคำนวน: Vantage จะคำนวณในอัตรารายวัน 0.05% สำหรับเงินทุนที่เข้าเกณฑ์ของคุณ โดยจะทบทุกวันและชำระในอัตรา 0.25% ทุกวันจันทร์ถัดไป ซึ่งแปลเป็นอัตราการเติบโตต่อปีที่เป็นไปได้ที่ 13% สำหรับเงินทุนที่มีสิทธิ์ของคุณ
การเพิ่มโปรโมชั่นให้สูงสุด:
- การรักษา Balance: ตรวจสอบให้แน่ใจว่าเงินทุนของคุณมีคุณสมบัติตรงตามข้อกำหนดขั้นต่ำคือ $5,000 ตลอดทั้งสัปดาห์เพื่อให้มีคุณสมบัติรับเพิ่มรายวัน
บทสรุป
การซื้อขายโดยมีรายได้แบบ Passive Income นั้นไม่ใช่วิธีแก้ปัญหาสำหรับทุกอย่าง และไม่ค่อยถูกกล่าวถึงเมื่อพูดถึงการซื้อขาย แต่มันสามารถเป็นเครื่องมืออันมีค่าในเส้นทางการเงินของคุณได้
ด้วยการทำความเข้าใจกลยุทธ์ต่าง ๆ การจัดการความเสี่ยงของคุณอย่างมีประสิทธิภาพ และการรักษาความคาดหวังให้อยู่กับความเป็นจริง คุณถึงจะสามารถสร้างแหล่งรายได้ที่ไม่ต้องลงมือปฏิบัติมากขึ้น ซึ่งจะช่วยเสริมกิจกรรมการซื้อขายโดยรวมของคุณ โปรดจำไว้ว่า Passive income ควรถูกมองว่าเป็นกลยุทธ์ระยะยาว ไม่ใช่การแก้ไขอย่างรวดเร็ว ด้วยการทุ่มเทและแผนที่กำหนดไว้อย่างดี คุณสามารถใช้ประโยชน์จากพลังของตลาดเพื่อสร้างรายได้ที่ไหลเข้ามา แม้ว่าคุณจะไม่ได้ซื้อขายอย่างแข็งขันก็ตามเริ่มต้นการเดินทางของคุณด้วยการเปิดบัญชีกับ Vantage และซื้อขายไปพร้อม ๆ กับการสร้าง Passive income ของคุณกับเราวันนี้!