ถ้ามีพรวิเศษอย่างหนึ่ง คนเราก็มักจะขอให้เห็นอนาคต หรืออ่านใจคนได้ หากมองกลับมาในมุมของการเทรด การคาดคะเนทิศทางของตลาดได้ ก็นับว่าเป็นข้อได้เปรียบอย่างยิ่ง เพราะนักเทรดจะสามารถตัดสินใจได้ง่ายขึ้น ไม่ว่าจะเป็นการประเมินแนวโน้ม หรือการปรับกลยุทธ์ให้สอดคล้องกับสถานการณ์ ทั้งหมดนี้สามารถเพิ่มโอกาสในการทำกำไร และลดความสูญเสียที่อาจเกิดขึ้น ซึ่งการเข้าใจ Market Structure จึงเปรียบเสมือนพรวิเศษที่ช่วยให้นักเทรด “อ่านใจตลาด” ได้อย่างเฉียบขาดและแม่นยำ ทำให้คุณก้าวนำไปอีกขั้นในโลกของการลงทุน
Market Structure คืออะไร ?
Market Structure คือ โครงสร้างของตลาดของสินทรัพย์นั้นๆ ที่แสดงในกราฟราคา ว่ามีการเคลื่อนไหวอย่างไรบ้าง หากนักเทรดมีความเข้าใจ Market Structure จะช่วยให้เห็นความเป็นไปของราคา หากรู้แบบนี้ก็นำข้อมูลมาใช้ประเมินสถานการณ์ควบคู่กับการใช้เทคนิควิเคราะห์กราฟแล้วจะส่งผลต่อระบบเทรดได้ดีขึ้นด้วยเช่นกัน
(อ่านบทความ : 4 เทคนิควิเคราะห์กราฟ Forex ที่นักเทรดควรรูู้้)
Market Structure มีกี่ประเภท ?
ต้องบอกก่อนว่าการทำความเข้าใจ Market Structure ไม่ได้หมายความว่าคุณต้องยึดติดกับการแบ่งโครงสร้างตลาดอย่างเดียว เพราะในความเป็นจริง ตลาดไม่ได้เคลื่อนไหวอย่างตายตัวหรือเป็นเส้นตรงเสมอไป แต่บทความนี้จะขออนุญาตแบ่งโครงสร้างหลักๆ เป็น 3 แบบเพื่อให้เข้าใจได้ง่าย
Bullish Market Structure
หากมีคำว่า Bullish แน่นอนว่านี่คือสัญญาณของขาขึ้นในสินทรัพย์นั้นๆ หากพบว่า Market Structure มีการทำ Higher High และ Higher Low อย่างต่อเนื่อง แสดงว่าเป็นช่วงที่แรงซื้อมากกว่าแรงขาย
Bearish Market Structure
หากมีคำว่า Bearish แน่นอนว่านี่คือสัญญาณของขาลงในสินทรัพย์นั้นๆ หากพบว่า Market Structure มีการทำ Lower High (LH) และ Lower Low (LL) อย่างต่อเนื่อง แสดงว่าเป็นช่วงที่แรงขายมีอิทธิพลมากกว่าแรงซื้อ ซึ่งมักสะท้อนถึงการชะลอตัวหรือการลดลงของราคาที่เกิดขึ้นอย่างต่อเนื่อง
Sideway Market Structure
ช่วงที่ราคาไม่มีทิศทางที่ชัดเจนและเคลื่อนไหวอยู่ในกรอบระหว่าง แนวรับ และ แนวต้าน โดย Market Structure ในลักษณะนี้แสดงถึงความสมดุลชั่วคราวระหว่างแรงซื้อและแรงขาย นักเทรดอาจต้องมองหาจังหวะที่ราคาทดสอบกรอบเหล่านี้ หรือรอการ Breakout เพื่อเข้าสู่แนวโน้มใหม่
อย่างที่บอกว่านี่เป็นเพียงการแบ่งโครงสร้างเพื่อให้เข้าใจ Market Structure ได้ง่ายขึ้นเท่านั้น ในการเทรด Forex ยังมีเทคนิควิเคราะห์กลยุทธ์อีกหลายส่วนประกอบไม่ว่าจะเป็นการใช้ Multi Timeframe Analysis การหาจุดกลับตัวในตลาด หรือการเชื่อมโยงกับ Price Action เมื่อนำข้อมูลทั้งหมดมาวิเคราะห์ จะช่วยให้เราเห็นทิศทางของตลาดและวางแผนในการเทรดได้ง่ายขึ้น
รู้จัก Market Structure แล้วไงต่อ ?
หลังจากที่เข้าใจนิยามของ Market Structure แล้วที่เหลือคือการนำไปใช้ในการเทรดจริงๆ เราสามารถกำหนดจุดเข้า-ออกได้อย่างแม่นยำ โดยสามารถใช้โครงสร้างตลาดเป็นแนวทางในการตั้ง Stop Loss และ Take Profit ตัวอย่างเช่น การตั้ง Stop Loss ไว้ใต้ Higher Low ในแนวโน้มขาขึ้น หรือเหนือ Lower High ในแนวโน้มขาลง
สำหรับการเทรดตามเทรนด์ นักเทรดสามารถยืนยันแนวโน้มด้วยการสังเกต Higher High และ Higher Low ในตลาดขาขึ้น หรือ Lower High และ Lower Low ในตลาดขาลง เพื่อหาจังหวะเข้าเทรดเมื่อราคาย่อตัว (Pullback) ในทางกลับกัน หากต้องการเทรดสวนเทรนด์ การวิเคราะห์ Reversal Pattern เช่น Double Top หรือ Double Bottom รวมถึงการเปลี่ยนแปลงในโครงสร้างตลาด จะช่วยให้นักเทรดระบุจุดกลับตัวที่มีศักยภาพและปรับกลยุทธ์ให้เหมาะสมกับสถานการณ์ได้
ไม่ว่าคุณจะเป็นนักเทรดสาย Day Trade หรือสาย Scalping หรือสายไหน การวิเคราะห์ Market Structure ควบคู่กับการตั้งเป้าหมายและบริหารความเสี่ยงอย่างเหมาะสม จะช่วยให้นักเทรดวางกลยุทธ์ได้อย่างมั่นใจมากขึ้น หากคุณต้องการเรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับการวิเคราะห์ตลาดและเทคนิคการเทรดขั้นสูง Vantage มีแหล่งความรู้มากมาย และพร้อมเป็นอีกหนึ่่งช่องทางที่จะช่วยให้คุณทำกำไรได้ในทุกตลาดเพียงแค่เปิดบัญชีที่นี่