เมื่อพูดถึงการเทรด Forex แล้วหลักการที่แสนเรียบง่ายของการเทรดคงจะมีเพียงแค่ “ซื้อเมื่อราคาขึ้น ขายเมื่อราคาลง” แต่หากคุณต้องการเป็นนักเทรดมืออาชีพ ที่สามารถวิเคราะห์สถานการณ์ของตลาดได้ ความรู้ด้านการวิเคราะห์กราฟเป็นทักษะเป็นสิ่งจำเป็นมาก เพราะถึงแม้ว่าสถานการณ์ของโลกและข่าวสารจะเปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วจนบางครั้งก็ยากที่จะคาดเดา แต่การวิเคราะห์กราฟจะสามารถบ่งบอกทิศทางของตลาดได้ เนื่องจากการตัดสินใจของนักเทรดมักมีแนวโน้มที่จะตอบสนองในรูปแบบที่คล้ายคลึงกันเมื่อต้องเผชิญกับเหตุการณ์ส่งผลให้เกิดพฤติกรรมซื้อ-ขายคล้ายๆ เดิมโดยอิงจากประสบการณ์ในอดีตการศึกษารูปแบบกราฟที่เกิดขึ้นแล้วบ่อยครั้งจึงสามารถนำมาใช้ทำนายแนวโน้ได้ นี่คือเหตุผลว่าทำไมนักเทรดจึงควรรู้
เป้าหมายต่างกัน วิเคราะห์ต่างกัน
ต้องเข้าใจก่อนว่าการเทรด Forex ไม่ได้มีเพียงแค่กลยุทธ์เดียวเท่านั้น แต่ละคนมีเป้าหมายและแนวทางที่แตกต่างกัน เพราะการตัดสินใจในแต่ละช่วงเวลาต้องอาศัยการวิเคราะห์กราฟที่เฉพาะเจาะจงตามเป้าหมายและแนวโน้มของตลาด การเข้าใจเป้าหมายของตัวเองและเลือกใช้วิธีที่สอดคล้องกับแผนการเทรด จะช่วยให้วิเคราะห์ได้ชัดเจนและเพิ่มโอกาสทำไรได้มากขึ้น
สายถือยาว(Long Term Trading)
สำหรับนักเทรดที่มีเวลาน้อย ไม่สามารถตามข่าวหรือกราฟได้ตลอด เน้นการเทรดระยะยาว มีความอดทนสูง ไม่รีบเร่งในการทำกำไร เป้าหมายคือการถือครองสถานะเป็นเวลานาน เพื่อรอให้ได้ราคาตามทิศทางที่คาดหวัง ส่วนใหญ่จะใช้การวิเคราะห์กราฟจากแนวโน้มใหญ่ๆ ของตลาดเพื่อหาจุดเข้า-ออกออเดอร์ที่เหมาะสม
สาย Day Trade
Day Trader คือ กลุ่มนักเทรดที่ชอบความเสี่ยงระดับปานกลาง ต้องการทำกำไรในเวลาที่รวดเร็วจากการเคลื่อนไหวของราคาภายในวันเดียว มองหาจังหวะในการเข้าซื้อ-ขายในขณะที่ตลาดมีความผันผวนสูง สายนี้ต้องมีวินัยในการตามข่าวและกราฟอย่างน้อย 1-2 ครั้งในการวิเคราะห์กราฟให้เห็นแนวโน้มของตลาด
สายซิ่ง
สายซิ่ง หรือ Scalper คือ นักเทรดที่พร้อมที่จะรับมือกับความผันผวนของตลาดในช่วงเวลาสั้นๆ มีเวลาดูกราฟได้บ่อยๆ สามารถติดตามข้อมูลข่าวสารได้ตลอดเวลา มีเป้าหมาในการเก็บกำไรเล็กๆ น้อยๆ จากการเคลื่อนไหวของราคาในช่วงไม่กี่นาที ใช้ความรวดเร็วและความชำนาญในการวิเคราะห์กราฟ
ดู Timeframe ให้ตรงกับแต่ละเป้าหมาย
สิ่งที่แตกต่างกันอย่างชัดเจนระหว่างนักเทรดในแต่ละสาย คือการเลือก Timeframe หรือที่เรียกกันว่า “หน้าเทรด” ซึ่งจะใช้ช่วงเวลาในการดูกราฟเพื่อวิเคราะห์ Price Pattern แตกต่างกันไปในแต่ละสไตล์ การเลือก timeframe ที่เหมาะสมกับเป้าหมายการจะช่วยให้นักเทรดทำการวิเคราะห์กราฟได้แม่นยำยิ่งขึ้น มาดูกันว่าสไตล์การเทรดแต่ละแบบควรใช้แบบไหนกัน
สายถือยาว ใช้ Timeframe D1 W1
สำหรับนักเทรดสายถือยาว มักจะดู Timeframe Daily (D1) หรือ Weekly (W1) ในการวิเคราะห์กราฟเป็นหลักเพื่อมองเทรนด์ใหญ่ของตลาดและหจุดเข้าออกตามแนวรับ-แนวต้านที่สำคัญ การใช้ timeframe ที่ยาวขึ้นจะช่วยให้มองเห็นการเคลื่อนไหวของตลาดในระยะยาวได้ชัดเจนขึ้น
สาย Day Trade ใช้ Timeframe H1-H4
แน่นอนว่านักเทรดสาย Day Trader ต้องดูกราฟรายชั่วโมงในวันนั้นๆ เป็นหลัก แต่ด้วยความที่เวลาน้อย และไม่ต้องการติดตามการวิเคราะห์กราฟทั้งวัน การขยับ timeframe รายชั่วโมงในระยะ H1 – H4 จะทำให้เห็นการเคลื่อนไหวของราคาภายในวันที่ชัดเจน และสามารถประเมินโอกาสในการทำกำไรในช่วงเวลานั้นๆ ได้ดีขึ้น
สายซิ่ง ใช้ Timeframe M1-M5
สำหรับนักเทรดสายซิ่ง สามารถทำกำไรได้ทุกช่วงเวลาของกราฟ การใช้ timeframe สั้นๆ เช่น M1-M5 จับการเคลื่อนไหวของราคา จะช่วยให้การวิเคราะห์กราฟเป็นไปอย่างรวดเร็ว
4 เทคนิคในการวิเคราะห์กราฟ Forex ที่นักเทรดควรรู้
1.การใช้แนวโน้ม Trendline
แนวโน้มของตลาดหรือ Trendline เป็นสิ่งสำคัญมากในการวิเคราะห์กราฟ เพราะเป็นสิ่งที่กำหนดทิศทางของตลาดได้อย่างแม่นยำ ในบางจังหวะ ราคาที่เกิดขึ้นอาจไม่ตรงกับแนวโน้มของตลาด การตีเส้น Trendline จะช่วยลดโอกาสผิดพลาดในการเทรดได้ ซึ่งวิธีในการดู Trendline นักเทรดสามารถทำได้โดยการตีเส้นในกราฟใน timeframe ที่ใช้วิเคราะห์ได้ด้วยตัวเอง เพียงเริ่มสังเกตช่วงราคาที่สูงที่สุด(High) หรือ ต่ำที่สุด(Low) ส่วนใหญ่แนวโน้มที่ออกมาจะมีอยู่ 3 แบบด้วยกัน ได้แก่
ขาขึ้น(Uptrend) : ในช่วง Uptrend ตลาดมีการเคลื่อนไหวของราคาที่สูงขึ้นเรื่อยๆ โดยสร้างจุดสูงสุดใหม่ที่สูงกว่าจุดเดิม (Higher High) และจุดต่ำสุดที่สูงขึ้นเรื่อยๆ (Higher Low)
ขาลง(Downtrend) : ในช่วง Downtrend ตลาดจะเคลื่อนไหวต่ำลงเรื่อยๆ โดยสร้างจุดต่ำสุดใหม่ที่ต่ำกว่าจุดเดิม (Lower Low) และจุดสูงสุดที่ต่ำลง (Lower High)
ออกข้าง(Sideway) : ในช่วง Sideway หรือการเคลื่อนที่ออกข้าง ตลาดมีการเคลื่อนไหวในกรอบแคบๆ ไม่มีแนวโน้มชัดเจนว่าจะขึ้นหรือลง โดยราคาจะวิ่งขึ้นไปชนแนวต้านและลงมาที่แนวรับหลายๆ ครั้ง
อย่างไรก็ตามการใช้แนวโน้ม Trendline ในการวิเคราะห์กราฟไปด้วย แม้จะทำให้เห็นความเป็นไปได้ของตลาด แต่ก็เป็นเพียงแนวโน้มที่อาจเกิดขึ้นเท่านั้น นักเทรดจึงควรใช้ตัวชี้วัด(Indicator)ตัวอื่นมาช่วยประกอบการตัดสินใจ และมีแผนสำรองในการเข้าออกออเดอร์เพื่อลดความเสี่ยงที่อาจเกิดขึ้นได้ เพราะสัญญาณหลอกในตลาดก็เกิดขึ้นได้บ่อยๆ เช่นกัน
2.ใช้ RSI
RSI (Relative Strength Index) คือ เครื่องมือที่นักเทรดใช้กันอย่างแพร่หลายในการวิเคราะห์กราฟเพื่อเช็กสัญญาณการเข้า-ออกออเดอร์ เพราะ RSI จะเป็นตัวบอกว่าตลาดอยู่ในสภาวะที่มีการซื้อมากเกินไปป (Overbought) หรือขายมากเกินไป (Oversold) โดย RSI มีค่าระหว่าง 0-100 หากสูงกว่า 70 แสดงว่าตลาดอาจอยู่ในภาวะ Overbought และมีโอกาสที่ราคาจะปรับตัวลง ในทางกลับกัน หากต่ำกว่า 30 แสดงว่าตลาดอาจอยู่ในภาวะ Oversold และราคามีโอกาสปรับตัวขึ้น
การใช้ RSI ช่วยให้นักเทรดสามารถจับจังหวะการกลับตัวของราคาได้ โดยเฉพาะเมื่อเข้าสู่โซน Overbought หรือ Oversold ซึ่งเป็นสัญญาณที่ชัดเจนในการออกออเดอร์ อย่างไรก็ตาม การใช้ RSI เพียงอย่างเดียวอาจไม่เพียงพอในบางสถานการณ์ นักเทรดควรดูแนวโน้มภาพรวมของตลาดในการวิเคราะห์กราฟร่วมด้วย และต้องทำความเข้าใจสินทรัพย์ที่กำลังเทรด เพราะในตลาดที่เป็น Strong Trend หรือมีความผันผวนสูง การเคลื่อนไหวของราคาอาจรุนแรงจนทำให้ค่า RSI ไม่แสดงสัญญาณที่ชัดเจน
ดังนั้น RSI จะให้ประโยชน์สูงสุดเมื่อใช้งานในช่วงที่ตลาดเคลื่อนไหวแบบ Sideway ซึ่งเป็นภาวะที่ตลาดไม่มีแนวโน้มชัดเจน ราคาจะวิ่งในกรอบแนวรับและแนวต้าน ทำให้นักเทรดสามารถใช้ RSI จับจังหวะการซื้อขายได้แม่นยำกว่า
3.ใช้ MACD
MACD (Moving Average Convergence Divergence) นักเทรดจะนิยมใช้ในในการวิเคราะห์กราฟ MACD ใช้ในการบ่งชี้ทิศทางของแนวโน้มและแรงซื้อขายในตลาด โดยจะสังเกตจาก จุดตัดกัน ระหว่าง MACD Line กับ Signal Line เพื่อหาจุดเข้าซื้อและขายจากการเปลี่ยนแปลงแนวโน้มของตลาด โดย MACD จะประกอบไปด้วย 3 ส่วนหลักคือ
MACD Line : คือความแตกต่างระหว่างค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่แบบ Exponential (EMA) สองเส้น (EMA 12 และ EMA 26)
Signal Line : คือเส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ของ MACD Line (EMA 9)
Histogram: แสดงความแตกต่างระหว่าง MACD Line และ Signal Line
ใช้ Fibonacci Retracement
Fibonacci Retracement เป็นเครื่องมือช่วยระบุจุดแนวรับและแนวต้านได้อย่างแม่นยำ โดย Fibonacci อ้างอิงจากสัดส่วนทางคณิตศาสตร์ที่เกิดจากการเคลื่อนไหวของราคา ซึ่งนักเทรดสามารถใช้ในการวิเคราะห์กราฟเพื่อดูการกลับตัวของราคาในแนวโน้มขาขึ้นหรือขาลงได้ สัดส่วนหลักที่นิยมใช้ ได้แก่ 23.6%, 38.2%, 50%, 61.8%, และ 78.6% ซึ่งจุดเหล่านี้มักเป็นแนวรับและแนวต้านที่สำคัญ
ตัวอย่างเช่น ในช่วง Uptrend หากราคาเริ่มย่อตัวลงมาที่ระดับ 38.2% หรือ 50% นักเทรดสามารถมองหาจังหวะในการเข้าซื้อเมื่อเห็นสัญญาณการกลับตัวขึ้นอีกครั้ง เช่นเดียวกับในช่วง Downtrend หากราคาปรับตัวขึ้นมาที่ระดับ 50% หรือ 61.8% ก็สามารถมองหาจังหวะขายได้เมื่อเห็นสัญญาณการกลับตัวลง
การใช้ Fibonacci จะได้ผลดีที่สุดเมื่อใช้ควบคู่กับการดูแนวโน้ม เช่น การใช้ Trendline หรืออินดิเคเตอร์อื่นๆ เพื่อช่วยยืนยันแนวรับหรือแนวต้านที่เกิดขึ้น
เมื่อนักเทรดมีเป้าหมายที่ชัดเจนและเรียนรู้ที่จะใช้เทคนิคการวิเคราะห์กราฟที่เหมาะสมกับสไตล์ของตัวเองแล้ว จะสามารถวางแผนการเทรดได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น ซึ่ง Vantage เป็นแพลตฟอร์มสำหรับการซื้อ – ขายผลิตภัณฑ์ CFD รองรับการใช้งานทั้ง MT4 และ MT5 ที่ช่วยให้นักเทรดสามารถบริหารจัดการการซื้อ-ขายได้อย่างครบครัน
สุดท้าย การมีความรู้ความเข้าใจในผลิตภัณฑ์ รวมถึงการวิเคราะห์กลยุทธ์ที่ชัดเจน และรู้จักประเมินความเสี่ยงของตัวเอง จะช่วยลดความเสี่ยงและเพิ่มโอกาสในการเทรดอย่างยั่งยืน